คนกล้าคืนถิ่น

สมจินต์ สืบนุช

  • คนกล้านครปฐม
  • เว็บไซต์ :
  • Facebook : สมจินต์ สืบนุช

วิศวกรเงินเดือนสูง หนีเมืองกรุง สู่วิถีคนกล้า

พี่สมจินต์ สืบนุช “นามคนกล้าคืนถิ่น” เปลี่ยนใจตัวเองกลับบ้านเกิด หนีความวุ่นวายในเมืองกรุง
จากเมื่อก่อนทำงานบริษัทตกแต่งภายใน ตำแหน่งวิศวกรประจำโครงการอยู่ประมาณ 5 ปี ไปทำงานในกรุงเทพ เชียงใหม่ นนทบุรี ทองหล่อ คอนโดมิเนียม กระทั่งมาจบลงที่โครงการอโศกในปี 53 เลยตัดสินใจกลับบ้าน จังหวัดนครปฐมได้ 6 ปีล่ะ “และไม่คิดที่จะกลับไปเป็นมนุษย์เงินเดือนอีก อยากอยู่ท่ามกลางธรรมชาติมากกว่า”

วิศวกรเงินเดือนสูง ตัดกิเลสเมืองกรุง เข้าโครงการคนกล้าคืนถิ่น

เหตุผลที่ชาวเกษตรกรไม่รวย หลัก ๆ ก็เพราะว่า เราใช้ต้นทุนเยอะเกิน รัฐบาลก็บอกให้ลดต้นทุน แต่หลายคนทำไม่ได้ เนื่องจาก ไม่มีตัวอย่างให้ดู ดังนั้น บ้านผม พ่อแม่เป็นชาวนา การที่ผมกลับบ้านครั้งนี้ อาชีพเกษตรกรเนี่ยแหละ จะเป็นอาชีพที่มั่นคงสำหรับผม แต่เนื่องด้วย วิถีการทำนาของบ้านผมใช้สารเคมี 100% ก็เลยคิดว่า เราอุตส่าห์หนีเมือง เข้าสู่ธรรมชาติ กลับต้องมาเจอสารเคมีอีก

ทำไมเราไม่ไม่ตัดเรื่องสารเคมีทิ้งไปล่ะ เลยทดลองปลูกข้าวไรซ์เบอรี่ส่วนตัว 4 ไร่ หาข้อมูลจาก Youtube บ้าง Google บ้าง ซึ่งเราได้ความรู้นะ แต่เอามาใช้จริง ๆ มันยาก ระหว่างนี้ก็หาวิธีลดสารเคมีไปเรื่อย ๆ เผอิญจังหวะดีเปิดเฟสบุ๊คเห็น “โครงการคนกล้าคืนถิ่น” เด้งขึ้นมาพอดี เลยเข้าไปดู เออ…น่าสนใจดี ลองเข้าร่วมโครงการดู เมื่อปี 58 เพื่อไปเอาวิชาความรู้มาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน

เลือดเกษตรกรแตกซ่านทั่วร่าง มุ่งเปลี่ยนวิถีการปลูกข้าวแบบลดใช้สารเคมี

แรก ๆ เข้าโครงการใหม่ ๆ ไม่รู้จักใครเลย คิดในใจ “ต้องหาเครือข่าย” และต้องแปรรูปข้าวให้ได้จริง ๆ แต่ไม่ได้แอนตี้เกษตรเคมีนะ เพราะในความคิด เกษตรอินทรีย์มันทำไม่ได้ เพราะเราไม่มีความรู้เลย จึงอยากลองทำเกษตรอินทรีย์ลดสารเคมีสักครั้ง กระทั่ง ผมได้เจอคนกล้าตัวอย่างมากมาย ดูแล้ว “เราก็ทำได้นะ” เพียงแค่ไม่ใช้ยาตัวนี้ ไม่ใช้เคมีตัวนี้ จะปราบหญ้ายังไง บลา ๆ ๆ พร้อมเก็บข้อมูลจากคนกล้าหลาย ๆ คน แต่ยังไม่เอามาใช้ซะทีเดียว ต้องไปหลาย ๆ ที่เพื่อเพิ่มความรู้ให้มากขึ้น จนเราได้รู้จักคำว่า “พึ่งตนเอง” อย่างแท้จริง

คนกล้าอย่างเราไม่โดดเดี่ยว มีเครือข่ายเป็นกลุ่มเพื่อน ๆ จำนวนมาก และผมก็มีความสุขไปกับโครงการ “คนกล้าคืนถิ่น”

พอเข้าโครงการผมได้อะไรหลายอย่าง มีการลงแปลง มีพี่เลี้ยงมาตรวจ มีการให้คะแนน ปีที่แล้วมีเงินซับพอร์ตให้เดือนละ 5,000 บาท เราก็เอามาบริหารต่อให้เกิดประโยชน์ จดบันทึกเรื่อย ๆ พอพี่เลี้ยงมาดู อ่า … มีการพัฒนาต่อเนื่อง เดือนต่อไปก็ได้เงินอีก พร้อมเอาเงินส่วนนี้มาสร้างโรงเรือนเลี้ยงไก่ใหญ่ก่อน ค่อยพัฒนามาเลี้ยงไก่เล็ก

กระทั่ง 2 อาทิตย์ผ่านไปไก่ไข่วันละ 5 ฟอง ตอนนี้ได้ทุนคืนหมดแล้ว “ทำจริง” “อยู่จริง” จนทุกวันนี้เราทำอะไรหลาย ๆ อย่างในชีวิตประจำวัน เช่น ปลูกข้าวกินเอง แปรรูปเอง มีไข่ มีปลา มีผักที่ปลูกตามนา ทุกเช้าก็ไปเก็บอาหารให้เป็ดให้ไก่ แค่นี้ก็มีความสุขมากล่ะ ไม่ต้องดิ้นรนทำอาชีพที่หรูหรา

อีกอย่างโครงการนี้สอนให้รู้ว่า “ให้เลือกในสิ่งที่เรามี” ไม่ต้องไปขวนขวายทำเห็ดถังเช่าอะไร ๆ มันแพง มองรอบตัวเราแล้วพัฒนาสิ่งที่มีให้ดีขึ้น อย่างผม เดิมพ่อแม่ทำนา ปลูกต้นมะม่วงร่วมด้วย รวมกันเกือบ ๆ 100 ไร่ อีกทั้ง ปกติมะม่วงบ้านผมไม่ได้ขายนะ เอาไว้แจกบ้าง และตอนนี้ ผมกำลังขยายพันธุ์มะม่วง ด้วยการเพาะกิ่งพันธุ์ แต่ก่อนหน้านี้ ผมไม่มีวิชาอะไรเลย จึงไปหาเพื่อนในเครือข่ายคนกล้า พอเจอในเฟสบุ๊ก แอดเฟรนด์เขาไป ซึ่งเขาเปิดคอร์สสอนเพาะกิ่งมะม่วง ไม่รอช้าจ่าย 500 บาทเข้าคอร์สทันที จนเจอกูรูป่าด้านมะม่วง พร้อมจำศาตร์หลาย ๆ อย่างมาใช้ จนทุกวันนี้ 500 บาทที่เราเสียไปได้คืนล่ะ

ส่วนใหญ่หลายคนทำเป็น ปลูกได้ แปรรูปเป็น แต่การตลาดไม่มี ขายไม่เป็น เพราะผมประสบปัญหานี้มาแล้ว ข้าวปลอดสารเคมีที่ผมปลูก ตระกูลข้าวไรซ์เบอร์รี่ ได้แพคเก็จจิ้งเรียบร้อย แล้วตลาดเราล่ะ … โอเครเปิดเฟสบุ๊ก ฝากขายในโซเชียลนู้นนี่นั้น จะไปขายตามโรงพยาบาล อนามัยก็มีเจ้าของยึดหมดล่ะ ไปออกบูธไหม? “ออก” แต่มันเหนื่อยมาก

วิธีการเอาตัวรอดของผม “ให้ใช้ตัวเราเป็นหลัก” “หาตนเองให้เจอ” เพราะกว่าจะขายข้าวได้โลละ 80 บาท ต้องคุยสรรพคุณ พอถึงขั้นตอนจัดส่ง ก็กลายเป็นภาระลูกค้า ต้องมาบวกค่าส่งเพิ่มอีก 30 บาท เราก็คิดละ!! ลูกค้ากินข้าวโลละ110 บาท “ใครจะกิน” พอมาดูสรรพคุณก็ไม่ต่างจากข้าวอื่น ๆ หรอก อีกอย่างเราอยู่บ้านไกลเมือง ต้องวิ่งไปไปรษณีย์ ต้องโทรถามว่า อีกกี่วันถึง อะไร ยังไง ดังนั้น คนกล้าบอกเราว่า “อะไรที่ยากสำหรับเรา และคิดว่ามันไม่ใช่” ก็เลยย้อนมาดูตัวเอง ถ้ามันยาก คงไม่ใช่แล้วแหละ ระหว่างนั้น ได้เพาะกิ่งมะม่วงไปด้วย อืม … ใช้ต้นทุนน้อย สามารถตั้งราคาขายมะม่วงง่าย ๆ 200 บาท ไม่ต้องซีเรียส ตายก็ปลูกใหม่ “อย่าทำอะไรที่มันยากสำหรับเราเลย”

วิถีเกษตรให้อะไรมากกว่าที่คิด อยู่ได้ พอมี พอกิน ไม่เดือดร้อนใคร

ซึ่งเราต้องเชื่อมั่นว่า อนาคตเกษตรต้องไม่จน ไม่น้อยหน้าญี่ปุ่น เพราะก่อนกลับบ้านคิดแน่นอนล่ะอีก 10-20 ปีข้างหน้า เหลือคนปลูกข้าวไม่มากนัก และอีก 5-10 ปีข้างหน้าจะมีเจเนอเรชั่นเพิ่มขึ้น เป็นหนึ่งในอาชีพที่เด็ก ๆ อยากทำ เพราะเกษตรลดต้นทุน ค่าใช้จ่าย ค่าครองชีพได้ ไม่ต้องตื่นเช้าออกไปทำงาน 8 โมง ไม่ต้องมานั่งดูเวลาว่า เมื่อไหร่จะ 5 โมงเย็น เป็นมนุษย์เงินเดือน เสียเงินตั้งแต่ออกจากห้อง ทั้งค่าวินมอเตอร์ไซต์ไปปากซอย ค่ารถเมล์ ไปกลับอีกหลายบาท แต่เมื่อมาอยู่ตรงนี้บอกเลยว่า สบายใจ มีเงินใช้จากไข่ไก่ที่ขาย มีผัก มีข้าว หมุนเวียนตลอด จนวันนี้ผมกลายเป็นเกษตรเต็มตัว ปลูกข้าว เพาะกิ่งมะม่วง เลี้ยงไก่ ปลูกผัก และเผาถ่านขาย 2 เตา วันละ 240 บาท มีคนมารับซื้อทุกวัน เห็นไหมครับ อยู่อย่างพอเพียง ไม่อดตาย