คนกล้าคืนถิ่น

ดิษพงศ์ ม่วงงาม

  • คนกล้าพะเยา
  • เว็บไซต์ :
  • Facebook : DitSaDan

กล้ารู้

องค์ความรู้คนกล้า

ชีวิตออกแบบได้ จากอเมริกาสู่ท้องนา

เป็นผู้จัดการอยู่ที่อเมริกา กลับมาทำบ้านสวนพี่ดิษที่จ.พะเยา เพราะชีวิตเลือกแล้ว


แม้ไม่เคยจับจอบทำการเกษตร แต่เมื่อเรียนรู้ ก็ทำได้ เหมือนเช่น ดิษพงศ์ ม่วงงาม อดีต Purchasing Manager และนักดนตรี อยู่อเมริกามานานเกือบ 30 ปี และตั้งใจว่าจะตั้งรกรากที่นั่น แต่ก็ต้องกลับมาใช้ชีวิตในเมืองไทย เพราะภรรยา (กวิสรา ม่วงงาม นักเขียน-กวี ) อยากกลับมาดูแลพ่อที่ป่วยเป็นมะเร็ง ที่จังหวัดพะเยา

แรกๆ ไม่รู้ว่าจะกลับมาทำอะไร แต่แล้วก็พบว่า อยากใช้ชีวิตตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง จนเป็นที่มาของ Dit Organic Farm  จ.พะเยา (บ้านสวนพี่ดิษ )พื้นที่กว่าสิบไร่ ทำการเกษตรผสมผสาน เลี้ยงสัตว์ เลี้ยงผึ้งป่า ปลูกผัก ฯลฯ โดยออกแบบพื้นที่ให้เหมาะกับไลฟสไตล์ของพวกเขา


ลองเล่าถึงชีวิตที่ผ่านมาสักนิด ?

พ่อแม่ผมเป็นครูสอนดนตรี แม่จบปริญญาเอกด้านเปียโน พ่อจบปริญญาโททางด้านดนตรี จากสหรัฐอเมริกาทั้งคู่ ผมเกิดมากับดนตรี ตอนอยู่ในเมืองนอก ก็เล่นตามบาร์และงานปาร์ตี้ เป็นงานอดิเรก ผมเป็นมือโซโล่ทั้งคีย์บอร์ดและเปียโน ส่วนอาชีพหลักเป็น Purchasing Manager บริษัทเอมแทป ดูแลพนักงานที่เป็นฝรั่งกว่า 300 คน เมื่อภรรยาผมอยากกลับมาอยู่เมืองไทย ผมก็คิดเยอะเพราะไม่เคยคิดจะกลับมาอยู่เมืองไทยและไม่รู้ว่าจะกลับมาทำอะไร บังเอิญวันหนึ่งเปิดอินเทอร์เน็ตเจอเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ก็เลยคุยกับแฟน เพราะเรามีที่ดิน จึงตัดสินใจทำการเกษตร ออกแบบพื้นที่ตั้งแต่อยู่เมืองนอก

เริ่มจากไม่มีความรู้เรื่องการเกษตรเลย ?

 กลับมาเมืองไทย ผมไปขอคำแนะนำจากหน่วยงานราชการไม่ว่าจะเป็นกรมพัฒนาที่ดิน, ปศุสัตว์, เกษตรจังหวัด, กรมประมง ไปมาหมด ไม่ได้เรื่องเลย จนมาอบรมโครงการคนกล้าคืนถิ่น รู้สึกตรงกับนิสัยเรา เพราะเราคิดว่า เราพอแล้ว ไม่หวังรวย เน้นความยั่งยืน วางเป้าหมายว่า ห้าปีในไร่ผมต้องมีทุกอย่าง ตื่นเช้าเปิดประตูออกไป อยากกินผักก็ไปเก็บ อยากกินไข่ก็ไปเก็บที่เล้าไก่ อยากจะกินปลาก็ตกในน้ำ มีทุกอย่างในสวน

ไม่กลับอเมริกาแล้วใช่ไหม

ถ้ากลับไปก็ต้องเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่อีก ต้องมองไปข้างหน้า ผมกับแฟน แค่ทำสวนผสมผสาน เลี้ยงสัตว์ มีม้า วัว ห่าน ไก่ ปลาและเลี้ยงผึ้ง กำลังจะเลี้ยงกุ้ง ม้าที่เลี้ยงก็ไถ่มา ไม่อย่างนั้นโดนฆ่ากินเนื้อ ตอนนี้มีสี่ตัวได้ขี้ม้าเป็นปุ๋ยอย่างดี แต่เราไม่คิดจะปลูกข้าว มีที่นาให้เช่า ค่าเช่าคืนเป็นข้าว

ทำงานด้านบริหารแล้วหันมาทำการเกษตร ต้องปรับตัวแค่ไหน

ตอนนั้นโครงการคนกล้าคืนถิ่น ส่งไปเรียนรู้กับโจน จันได เขามีแฟนเป็นคนอเมริกัน ก็เลยคุยกันสนุก เพราะคิดเหมือนๆ กัน ผมเคยเป็นผู้จัดการโรงงาน ผมก็เอามาใช้กับสวน และวิธีการของโจนที่บอกว่า ชีวิตต้องง่าย คล้ายๆ กับหลักบริหารที่ผมทำ ให้ตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไป หรือ ส่วนที่เรียกว่าขยะออกไป ยกตัวอย่าง ถ้าจะปลูกต้นไม้ร้อยต้นใน 8 ชั่วโมง จะปลูกเท่าเดิมภายใน 5 ชั่วโมง เราก็ต้องทำได้ ก็จะมีเวลาว่างเพิ่มขึ้น นี่คือ ตัดส่วนไม่จำเป็นออกไป เหมือนหลักการบริหาร คือ ทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ถ้าบริหารฟาร์มให้มีประสิทธิภาพ คุณก็มีเวลาว่างมากขึ้น?

ผมเคยอยู่ฝ่ายวางแผนมาก่อน ถ้าผมต้องรดน้ำต้นไม้ทุกวัน 10 ต้นใช้เวลาต้นละ 3 นาที รวมเวลา 30 นาที  ลองคิดดูถ้าผมมีต้นไม้ร้อยต้น ผมจะใช้เวลากี่ชั่วโมง ผมก็เซ็ตระบบน้ำหยดไว้เลย ไม่ต้องเดินรดน้ำต้นไม้

ด้านพลังงาน ผมก็เอาโซล่าเซลล์มาใช้ มีระบบไฟฟ้าทั่วไป มีบ่อน้ำบาดาล สระน้ำตื้นๆ และน้ำประปา เมื่อปีที่แล้ว มีเหตุการณ์ไฟฟ้าดับ น้ำประปาไม่ไหล ถนนขาด ทำอะไรไม่ได้เลย แต่ตอนนี้เราแก้ปัญหาได้หมด ตอนนี้เราติดหลอดไฟในสวน โดยใช้โซล่าเซลล์ ผมเรียนรู้การคำนวณจำนวนวัตต์ที่ใช้กับหลอดไฟและแบตเตอรีในอินเทอร์เน็ต

แล้วปลูกพืชอะไรบ้าง

ปลูกทุกอย่างที่มีคนให้  อยากกินอะไรก็ปลูก มีเมล็ดพันธุ์จากอเมริกาด้วย เราก็แบ่งปันกับคนอื่นด้วย ผมพยายามลดต้นทุน ผมไม่เชื่อว่า ทุกอย่างต้องใช้เงินซื้อทั้งหมด ปุ๋ยและดินผสมเอง ทำมาสองปี ตอนนี้มีกล้วย คนก็ได้กิน สัตว์ก็กินได้ ไผ่ที่ปลูกไว้ยังไม่เก็บหน่อ ปล่อยให้เป็นกอใหญ่ๆ ผมไม่ได้ทำเชิงธุรกิจ ไม่ได้ขาย ทำเป็นฟาร์มปิด อยากทำให้มีความยั่งยืนก่อน

ต้องมีความยั่งยืน ?

ทำตามแนวในหลวง รัชกาลที่ 9 ต้องมีกินก่อน เหลือค่อยแบ่งปัน ขายไม่ยากหรอกครับ ผมเคยโพสต์ขายน้ำผึ้ง ไม่ถึงสิบนาทีหมดเกลี้ยง แฟนผมเคยวิตกว่าจะขายไม่ได้ ผมก็ลองทำให้ดู

เคยคิดจะทำเป็นที่พักในฟาร์มไหม

เราเป็นฟาร์มปิด ไม่คิดจะทำโฮมสเตย์ เพราะมีเยอะแล้ว ไม่อยากทำเป็นสถานที่ท่องเที่ยว เพราะไม่คุ้มทุน และไม่ทำเป็นศูนย์เรียนรู้ เพราะไม่ต้องการขึ้นกับองค์กรของรัฐ เป็นฟาร์มปิดก็มีคนขอมาดูสิ่งที่ผมทำ เราก็ให้โอกาสคนที่อยากเรียนรู้ ผมมีรีสอร์ทให้ผึ้ง ไม่ได้ทำเป็นรางๆ เน้นความสวยงามด้วย ส่วนด้านพลังงาน เราก็เซ็ตโซล่าเซลล์ไว้ใช้ในบ้านและปั๊มน้ำในสระ ทำระบบไฟเปิดปิดอัตโนมัติในสวน

เห็นบอกว่า ทดลองเลี้ยงผึ้งด้วย ?

ก็ลองเลี้ยงดู ผึ้งป่า เพราะสวนเรามีต้นสาปเสื้อและดอกหญ้า เราเป็นสวนผสมผสาน มีดอกไม้ ต้นไม้ น้ำผึ้งจึงมีกลิ่นหอมเกษร เราปลูกป่าสามอย่าง ประโยชน์สี่อย่าง แนวทางพระราชดำริในหลวง รัชกาลที่ 9 “ธรรมชาติพึ่งพาธรรมชาติ” ปล่อยผึ้งให้หาเกษรดอกไม้กินเอง เพราะเราเป็นฟาร์มออร์แกนิก

ตอนนี้บ้านสวนพี่ดิษ อยู่ในขั้นไหน

 ขั้นทดลองเรียนรู้ ผมตั้งใจแล้วจะเดินตามแนวทางในหลวง รัชกาลที่ 9 ทุกเรื่องที่พระองค์ทรงทำมีเหตุมีผลหมด เน้นให้ปลูกอย่างละนิดอย่างละหน่อย ถ้าตายไปต้นสองต้นไม้ไม่เสียดาย ปลูกน้อยๆ ก็จะดูได้ว่า เหมาะกับดินของเราไหม แล้วค่อยขยาย

ณ ว้ันนี้ การเกษตรตอบโจทย์การใช้ชีวิตไหม

ยังไม่เต็มร้อย แต่มีความสุขทุกวัน ขณะที่หลายคนเสียเงินไปเที่ยวรีสอร์ท สัมผัสอากาศเย็นๆ ชมวิวภูเขา ท้องนา แต่เราไม่ต้องไปไหน มีบ้านพักอากาศแบบนี้ทั้งวัน เดินเล่นในสวนได้สบายๆ  พวกม้า วัว ก็ปล่อยให้เดินเล่นอิสระเต็มที่ เคยล้อมรั้วเลี้ยงไก่ในพื้นที่สองงาน ออกไข่บ้าง ไม่ออกไข่บ้าง ก็เลยปล่อยให้ไก่ออกมาเดินเล่นในพื้นที่สิบไร่ อาทิตย์เดียวไก่อ้วนสมบูรณ์สีสวยเหนียงเต็มทุกตัว แข่งกันออกไข่

อีกอย่าง ถ้าไม่โลภอยู่ได้ แต่ผมพอแล้ว มีเวลาก็ไปเล่นดนตรีกับน้องๆ ที่เชียงใหม่ ต่างจากเมื่อก่อน แม้จะมีเงินไม่ขาดมือ อยากได้อะไรก็ซื้อทำงานเครียด แต่หลักเศรษฐกิจพอเพียงจะทำกี่อย่างก็แล้วแต่ ขออย่างเดียวให้อยู่ภายใต้เงื่อนไขคุณธรรมและความรู้  เคยมีคนขับรถจากเชียงใหม่มาพะเยาซื้อน้ำผึ้งป่าจากเรา เพราะเขามั่นใจว่าของเราของแท้ ผมมีคุณธรรม ไม่โกหก

..............................

หมายเหตุ : ดูข้อมูลได้ที่ https://www.facebook.com/pak.huggun